กิจกรรม การเรียนรู้ที่ 3
ความยุติธรรมในสังคม
ความสำคัญของความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคม
ผลการเรียนรู้
1.
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นพลเมืองโลก การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ความเป็นธรรมในสังคม ค่านิยมและสภาพการณ์ การพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิมนุษย์ชน
การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และความหลากหลาย
2.
คิดวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ ความจริงใกล้ตัว
และสถานการณ์โลกปัจจุบัน
3.
เลือกประเด็นและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจง
และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นกับระดับโลกในภาพกว้าง
ความคิดรวบยอด
ความสำนึกตระหนักในความสำคัญของความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคม
กิจกรรม
1. แนวคิดเกี่ยวกับความเสมอภาค
ในยุคปัจจุบันที่สังคมโลกต่างให้ความสำคัญกับกระแสสิทธิมนุษยชนและกระแสประชาธิปไตย
คนทุกคนมีสิทธิได้รับความเป็นธรรมในสิทธิที่ตนเองควรจะได้รับ
ตั้งแต่แรกเกิดคือสิทธิที่จะต้องอยู่รอด สิทธิในการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
และสิทธิที่จะได้รับการศึกษาและฝึกอบรมที่สอดคล้องกับสภาพวิวัฒนาการของสังคมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
ที่ความรู้คืออำนาจ การเรียนรู้จึงกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อคนทุกคนอย่างทวีคูณ ผู้ที่เข้าถึงความรู้ได้มากกว่าจึงได้เปรียบคนที่เข้าถึงความรู้ได้น้อยกว่า ผู้คนทั่วโลกมีความต้องการการศึกษามากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการประชุมการศึกษาโลกที่เมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล เมื่อ พ.ศ. 2543 ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดแนวทางการปฏิรูปการศึกษา โดยมีการเสนอจุดหมายหรือหลักชัย (Goals) 6 ข้อ ซึ่งจุดหมายทั้งสามข้อใน
6 ข้อนั้น ได้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นในเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากก่อนที่เราจะทำให้บรรลุเป้าหมายเรื่องการเสมอภาคทางการศึกษานั้น การมีความเข้าใจแนวคิดเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษาที่ตรงกันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ในบทความนี้ผมขอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อเป็นฐานในการสร้างความเข้าใจในการบริหารจัดการศึกษาทั้งในภาพรวมระดับประเทศ และระดับสถานศึกษา
ที่ความรู้คืออำนาจ การเรียนรู้จึงกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อคนทุกคนอย่างทวีคูณ ผู้ที่เข้าถึงความรู้ได้มากกว่าจึงได้เปรียบคนที่เข้าถึงความรู้ได้น้อยกว่า ผู้คนทั่วโลกมีความต้องการการศึกษามากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการประชุมการศึกษาโลกที่เมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล เมื่อ พ.ศ. 2543 ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดแนวทางการปฏิรูปการศึกษา โดยมีการเสนอจุดหมายหรือหลักชัย (Goals) 6 ข้อ ซึ่งจุดหมายทั้งสามข้อใน
6 ข้อนั้น ได้ชี้ให้เห็นว่าประเด็นในเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากก่อนที่เราจะทำให้บรรลุเป้าหมายเรื่องการเสมอภาคทางการศึกษานั้น การมีความเข้าใจแนวคิดเรื่องความเสมอภาคทางการศึกษาที่ตรงกันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ในบทความนี้ผมขอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อเป็นฐานในการสร้างความเข้าใจในการบริหารจัดการศึกษาทั้งในภาพรวมระดับประเทศ และระดับสถานศึกษา
2. หลักการเกี่ยวกับความยุติธรรม
คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2549 โดยเป็นเครือข่ายนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพเพื่อส่งเสริมการไม่ใช้ความรุนแรงและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
รวมทั้งเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมและยุติการลอยนวลพ้นผิด
คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์และรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน
พร้อมกับส่งเสริมนักกิจกรรมระดับรากหญ้าและให้ความสนับสนุนผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการต่อสู้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม
ในเดือนธันวาคม 2552 คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิกับสำนักงานเขตที่กรุงเทพมหานคร
และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพเชื่อว่าการเคารพสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมเป็นเงื่อนไขจำเป็น
เพื่อลดความขัดแย้งที่รุนแรงและสถาปนาสันติภาพในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพเชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคือตัวชุมชนเอง
จึงให้ความสำคัญและทุ่มเททรัพยากรเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นความยุติธรรมและหลักนิติธรรม
สิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
ส่งเสริมศักยภาพของผู้เสียหายและสมาชิกในครอบครัวที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
และช่วยให้ชุมชนปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยใช้สันติวิธี
และการรณรงค์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการละเลยต่อหลักนิติธรรม
เพื่อยุติการละเว้นโทษและให้การเยียวยากับผู้เสียหายและครอบครัวมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพมีเป้าหมายส่งเสริมให้ภาครัฐมีเจตจำนงทางการเมืองที่หนักแน่นขึ้นในการแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม
โดยกระตุ้นให้ภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมสร้างแรงกดดัน
และให้มีการคุ้มครองต่อผู้แสวงหาความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพมุ่งทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้โดยผ่านเครือข่ายนักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนและการไม่ใช้ความรุนแรง
การสนับสนุนจากเครือข่ายพันธมิตร
และการจัดตั้งชุมชนตามบรรทัดฐานของสิทธิมนุษยชน
3.
วิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์
ความจริงใกล้ตัวและสถานการณ์ปัจจุบัน
ความขัดแย้งแบ่งสีในสังคมไทยปะทุขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 บานปลายสืบเนื่องนานหลายปีโดยยังไม่มีวี่แววว่าจะสร่างซา ประเทศไทยเดินดุจเรือไร้หางเสือผ่านรัฐประหาร รัฐบาลนอมินี รัฐบาลอำมาตย์ พลิกกลับมาเป็นรัฐบาลโคลนนิ่ง จนถึงปี พ.ศ. 2554 ความยุติธรรมในสังคมยังดูเป็นอุดมคติอันไกลโพ้น ขณะที่ความอยุติธรรมชัดแจ้ง ฝากรอยแผลทางกายและในใจคนอย่างท่วมท้นขึ้นเรื่อยๆ จนคำกล่าวที่ว่า “คุกไทยมีไว้ขังคนจน” ดูจะเป็นสัจธรรมอันยากสั่นคลอน
อย่างไรก็ดี คุณูปการประการหนึ่งของความอึมครึมและแตกแยกในสังคม คือ คำว่า “ความยุติธรรม” ถูกพูดถึงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในแทบทุกระดับชั้น ตั้งแต่ผู้นำประเทศจนถึงคนเดินดิน แม่ค้าถกเรื่อง “ตุลาการภิวัตน์” กับลูกค้าระหว่างตักข้าวแกงใส่จาน คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ใส่เสื้อสีที่ “ตื่นตัวทางการเมืองอย่างฉับพลัน” ตามวาทะของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ ถกเถียงเรื่องความยุติธรรมทางสังคมอย่างหน้าดำครํ่าเครียด และบางทีก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือ
แต่ไม่ว่าเราจะถกเรื่องความยุติธรรมกันมากเพียงใด สิ่งที่ยังพบเห็นน้อยมากในทัศนะของผู้แปลคือ การถกเถียงอย่างรอบด้าน เคารพซึ่งกันและกัน และพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อันล้วนเป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อการเดินสู่ “ความยุติธรรม” ที่แท้จริง
4. ประเด็นและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจง
และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นกับระดับโลกในภาพกว้าง
การถกเถียงเรื่องความยุติธรรม
ตั้งแต่เรื่องระดับชาติจนถึงเรื่องในครอบครัว
ยังดูจะมุ่งไปที่การชักโวหารเหตุผลจากแม่นํ้าทั้งห้ามาสาธยายว่าทำไม “ฉันถูก แกผิด”
และ “ความยุติธรรม” ก็มักถูกใช้ในความหมายว่า
อะไรก็ตามที่ทำให้ฉันหรือพวกของฉันได้ประโยชน์
โดยไม่สนใจว่าคนอื่นได้รับผลกระทบอย่างไร
กระทั่งไม่อยากฟังเพราะปักใจเชื่อไปแล้วว่าคนอื่นไม่ควรค่าแก่การรับฟัง
เพราะเป็นสลิ่ม / เป็นควายที่ถูกซื้อ / เป็นชนชั้นกลางดัดจริต / เป็นพวกล้มเจ้า
ฯลฯการเที่ยวแขวน “ป้าย” ง่ายๆ
เหล่านี้ให้กับผู้คิดต่าง ทำให้คนจำนวนมากไม่ถกกันอย่างเปิดใจและตรงไปตรงมา
หมกมุ่นกับการใช้วาทศิลป์สร้างวาทกรรมด้านเดียวมาสนับสนุนการต่อสู้ทางการเมือง อาทิ
เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนเข้มแข็ง ประชานิยม ทุนโลกาภิวัตน์ ฯลฯ
ทั้งที่ในโลกแห่งความจริง สิ่งที่คำเหล่านี้อธิบาย
ไม่ได้มีแต่ด้านบวกหรือด้านลบเพียงด้านเดียว
และคำหลายคำที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็นอาวุธทางความคิดนั้น
แท้จริงสามารถใช้ร่วมกันได้อย่างไม่เคอะเขินเพื่ออธิบายความจริง เช่น
กลุ่มการเงินชุมชนหลายกลุ่มใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงช่วยเหลือชาวบ้านที่เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวได้สำเร็จ
เสร็จแล้วก็นำเงินกู้ในนโยบาย “ประชานิยม” อย่างเช่นกองทุนเอสเอ็มแอล
มาช่วยให้พวกเขาได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ความยุติธรรมจะบังเกิดได้อย่างไร
ในเมื่อเรายังไม่เข้าใจกันเราจะเข้าใจกันได้อย่างไร
ในเมื่อเรายังไม่ให้ความยุติธรรมแม้กับถ้อยคำ
ล่ามโซ่ตีกรอบความหมายของมันอย่างคับแคบด้วยวาทกรรมที่ใช้ฟาดฟันทางการเมือง
แบ่งโลกออกเป็นขาว – ดำ ทั้งที่โลกจริงหลากหลายกว่านั้น ซับซ้อนกว่านั้น
และมีความหวังมากกว่านั้นในห้วงยามที่สังคมเป็นเช่นนี้ ผู้แปลคิดว่าหนังสือ
“ความยุติธรรม” มาถูกที่ถูกเวลาเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้เขียน – ไมเคิล แซนเดล
- เป็นนักปรัชญาการเมืองร่วมสมัยที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในโลกวิชาการ ยิ่งกว่านั้นคือ
อาจารย์เป็นปัญญาชนสาธารณะที่มีความสุขกับการใช้ปรัชญาทางการเมืองหลากสำนักตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเป็นแว่นขยายส่องประเด็นสาธารณะต่างๆ
ที่อยู่ในความสนใจของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งงานของคนรักเพศเดียวกัน
การเกณฑ์ทหาร การโก่งราคาในภาวะฉุกเฉิน โบนัสมหาศาลของผู้บริหารธนาคาร
การเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน การอุ้มบุญ การุณยฆาต สิทธิส่วนบุคคลกับประโยชน์สาธารณะ
ฯลฯผู้แปลโชคดีที่เคยนั่งเรียนวิชา
“ความยุติธรรม”
กับอาจารย์ วิชานี้เป็นวิชาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดติดต่อกันนานกว่าสองทศวรรษ
มีนักศึกษาลงทะเบียนเรียนมากกว่าหนึ่งพันคนทุกภาคเรียน
มากจนต้องไปเรียนกันในโรงละครแซนเดอร์ส
ซึ่งจุคนได้มากที่สุดในมหาวิทยาลัยสิ่งที่ทำให้ผู้แปลทึ่งที่สุดไม่ใช่ความรอบรู้ของอาจารย์แซนเดล
หากแต่เป็นความเอื้ออาทร อ่อนโยน และเคารพอย่างจริงใจในความคิดเห็นของนักศึกษาทุกคน กระทั่งกับคนที่ดันทุรัง –
ดื้อดึง – ด่าทอเพื่อนร่วมห้อง
หรือพูดจาถากถางอาจารย์ด้วยความเชื่อมั่นเกินขีดความสามารถของตัวเอง อาจารย์แซนเดลก็จะรับฟังอย่างตั้งใจ
ใจเย็น และใจกว้าง ชี้ชวนให้ผู้คิดต่างเสนอความเห็นและถกเถียงกันในชั้นเรียน
โดยสอดแทรกความคิดเห็นของตัวเองให้น้อยที่สุดอาจฟังดูเหลือเชื่อว่า
ในชั้นเรียนซึ่งมีนักเรียนยัดทะนานนับพัน ล้นห้องจนบางคาบนักศึกษานับร้อยต้องนั่งพื้นตรงทางเดิน
อาจารย์กลับสามารถถามคำถามและดำเนินบทสนทนาระหว่างนักเรียนได้อย่างมีชีวิตชีวาและท้าทายความคิด
(“เอ้า หนุ่มน้อยเสื้อหนาวสีขาวใส่แว่น
ชั้นสามจากบนสุดคิดอย่างไรครับ”)แต่อาจารย์แซนเดลทำได้
หนังสือเล่มนี้เป็นการถ่ายทอดบทสนทนาและการโต้วาทีในชั้นเรียน
ระหว่างนักศึกษาด้วยกัน และระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา
ราวกับยกวิชาในตำนวนวิชานี้ทั้งวิชามาอยู่บนหน้ากระดาษนอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความคิดและปรัชญาการเมืองในโลกตะวันตกแล้ว
แซนเดลพยายามจะบอกเราว่า ความยุติธรรมนั้นถึงที่สุดแล้วเป็นเรื่องของการ
“ให้คุณค่า” กับสิ่งต่างๆ และด้วยเหตุนี้ ทั้ง “เหตุผล” และ “ศีลธรรม”
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ดังเนื้อความตอนหนึ่งว่า“การขอให้พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยทิ้งความเชื่อทางศีลธรรมและศาสนาไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาเดินเข้าสู่วงอภิปรายสาธารณะนั้น
อาจดูเป็นวิธีสร้างหลักประกันว่าคนจะอดทนอดกลั้นและเคารพซึ่งกันและกัน
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจตรงกันข้าม การตัดสินคำถามสำคัญๆ
ใประเด็นสาธารณะขณะแสร้งทำตัวเป็นกลาง ทั้งที่เป็นกลางจริงๆ ไม่ได้นั้น
คือสูตรสร้างปฏิกิริยาโต้กลับและความไม่พอใจ
การเมืองกลวงเปล่าอันสิ้นไร้การโต้เถียงทางศีลธรรมอย่างหนักแน่นทำให้ชีวิตพลเมืองของเราแร้นแค้น
นอกจากนี้มันยังเชื้อเชิญลัทธิคลั่งศีลธรรมอันคับแคบและไม่อดทนอดกลั้น
นักรากฐานนิยมวิ่งเข้าสู่พื้นที่ซึ่งนักเสรีนิยมไม่กล้าย่างเท้าเข้าไป”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น