กิจกรรม การเรียนรู้ที่ 5
สิทธิมนุษย์ชน
ผลการเรียนรู้
1.
มีรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นพลเมืองโลก การแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ความเป็นธรรมในสังคม ค่านิยมและสภาพการณ์ การพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิมนุษย์ชน
การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และความหลากหลาย
2.
คิดวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ ความจริงใกล้ตัว
และสถานการณ์โลกปัจจุบัน
3.
เลือกประเด็นและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจง
และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นกับระดับโลกในภาพกว้าง
ความคิดรวบยอด
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษย์ชน
กิจกรรม
1. แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษย์ชน
2.1สิทธิมนุษยชน
เป็นสิทธิเฉพะของมนุษย์แต่ละคนที่ไม่สามารถโอนให้กันและกันได้2.2 สิทธิมนุษยชน
เป็นสิทธิที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ และต้องพึ่งพิงกันและกัน2.3 สิทธิมนุษยชน
เป็นวิถีทางที่นำไปสู่สันติภาพและพัฒนาที่ยั่งยืน2.4 สิทธิมนุษยชน
เป็นสิทธิที่บุคคลพึงมีในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์2.5 สิทธิมนุษยชน
เป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมีความเท่าเทียมกันอย่างเป็นสากลและตลอดไป
2. หลักการของสิทธิมนุษย์ชน
หลักการสำคัญของ "สิทธิมนุษยชน"
- ศักดิ์ศรความเป็นมนุษย์ หมายถึง
สิ่งที่ติดตัวบุคคลมาตั้งแต่เกิดที่ทุกคนต้องปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติในฐานะที่เป็นมนุษย์
ดังที่ปรากฎในคำปรารภของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่ว่า
มนุษย์ทุกคนเกิดมามีอิสระ เสรีภาพ และเสมอภาคกัน จึงควรปฏิบัติต่อกันฉันท์พี่น้อง
หรืออีกนัยหนึ่งคือการปฏิบัติต่อกันอย่างไม่ให้เกียรติไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั่นเอง
- การไม่เลือกปฏิบัติ ถึงแม้ว่าคนเราเกิดมา
จะมีความแตกต่างกันในเรื่อง ฐานะ ความเป็นอยู่ การศึกษา เพศ ศาสนา
หรือความบกพร่องของร่างกาย แต่ภายใต้การคุ้มครองโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เราต้องไม่อาศัยความแตกต่างเหล่านี้มาเป็นสาระสำคัญในการปฏิบัติหรือจำกัดสิทธิหรือกีดกันบุคคลบางกลุ่ม
เช่น ไม่อนุญาตให้คนอ้วนเรียนพยาบาล
ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการเลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้จากการปฏิบัติต่อบุคคลต้องคำนึงถึง
ความเสมอภาค กล่าวคือ หากบุคคลอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน
ด้วยเหตุจากความแตกต่าง อาทิ เผ่าพันธุ์ สีผิว เพศ ภาษา สัญชาติ เชื้อชาติ ชนชั้น
เป็นต้น ก็ต้องมีการปฏิบัติตอ่บุคคลให้เสมอภาคโดยเท่าเทียมกัน
- แบ่งแยกไม่ได้ สิทธิมนุษยชนไม่สามารถแบ่งแยกได้หรือไม่มีลำดับชั้น
สิ่งใดที่บัญญัติให้เป็นสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามกฎหมาย
บุคคลเข้าถึงสิทธินั้นโดยเสมอภาคกัน
- ความเป็นสากล สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องสากลที่ทุกคนมีเหมือนกันหมดไม่สามารถถอนจากผู้หนึ่งแล้วถ่ายโอนหรือเพิ่มเติมให้ผู้หนึ่งเป็นการเฉพาะได้
ดังนั้น
การสร้างหลักประกันแก่ประชาชนว่าจะได้รับการปกป้องคุ้มครองตามหลัก สิทธิมนุษยชน
ดังกล่าว
จึงเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงในการที่จะต้องปฏิบัติรับรองสิทธิของประชาชนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม
3. วิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์
ความจริงใกล้ตัวและสถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้เขียนบทความหนึ่งชื่อว่า “บทเรียนกรณี 'อากง'
กับปัญหาสิทธิมนุษยชนไทย”
เป็นการบอกเล่าข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นบางประการเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายอำพล
ตั้งนพกุล หรือ ‘อากง’ ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ซึ่งบทความดังกล่าวได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมของไทยและที่สำคัญคือประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย
ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญทั้งในแง่มุมทาง ‘กฎหมาย’ และ ‘การเมือง’ อยู่มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่ม ‘นิติราษฎร์’ ซึ่งนำโดย อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะรวม 7 คน ออกมาประกาศเรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112
ในเดือนมีนาคม 2554
ซึ่งต่อมาไม่นานก็เป็นที่สนใจอย่างกว้างขวางทั้งผู้สนับสนุนและต่อต้าน
ต่อมาในปลายปีเดียวกันนั้นเอง
นิติราษฎร์ก็ได้จัดงานครบรอบ ‘5 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.49’ พร้อมทั้งได้ประกาศข้อเสนอ
4 ประการเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม ได้แก่
- ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
- แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
- กระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาหรือจำเลย และเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหลังรัฐประหาร
- ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
4. ประเด็นและเชื่อมโยงเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจง
และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นกับระดับโลกในภาพกว้าง
จะเห็นได้ว่า ‘มาตรา 112’
ก็เป็นปัญหาสำคัญที่นิติราษฎร์เห็นว่าควร ‘แก้ไข’ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการต่อต้าน
‘รัฐประหาร’ การต่อต้าน ‘รัฐธรรมนูญเผด็จการ’ และการเยียวยา ‘ผู้ได้รับความเสียหาย’
จากเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้นิติราษฎร์ได้รับทั้ง ‘ดอกไม้’ และ ‘ก้อนหิน’
ในเวลาเดียวกัน จนท้ายที่สุดต้องส่งไม้ต่อให้คณะรณรงค์แก้ไข ม.112 หรือ ‘ครก.112’
ในเวลาต่อมา
ตัวกฎหมาย ‘มาตรา 112’ นี้ผมจะไม่กล่าวถึงมากนัก
เพราะได้อธิบายไปพอสมควรแล้วในบทความที่ผ่านมา[1] แต่จะขอเสนอความเห็นของทั้งฝ่ายที่
‘เห็นด้วย’ และ ‘ไม่เห็นด้วย’ ในการแก้ไขมาตรา 112
รวมถึงท่าทีของนานาชาติต่อกรณีดังกล่าว
เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้พินิจพิจารณาว่าเหตุใดเราจึง ‘ควรแก้’ หรือ ‘ไม่ควรแก้’
กฎหมายมาตรานี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น